ดร. เอมอร โคพีร่า Chief Medical Officer และผู้อำนวยการศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพระดับยีน (Regenerative & Genomics Center) โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง กล่าวว่า จริงๆ แล้วความฉลาดในเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถหาคำตอบจากยีนที่มีได้ว่า เด็กควรถูกส่งเสริมความฉลาดไปในแนวทางไหนให้ตรงกับยีนมากที่สุด ซึ่งความฉลาดของเด็กแต่ละคนจะมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ความฉลาดด้านการคำนวณ ความฉลาดด้านภาษา และความฉลาดด้านมิติความสัมพันธ์
สำหรับเด็กที่ไม่มียีนการเรียนรู้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ในช่วงวัยเจริญเติบโต การเลี้ยงดูของพ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นเรื่องของพัฒนาการ ซึ่งจะทำให้ยีนที่เป็นกลไกทางเคมีทำให้สารพันธุกรรมมีการปรับเปลี่ยนทำให้เด็กมียีนการเรียนรู้ หรือ ยีนฉลาดขึ้นได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้เด็กฉลาดได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ โดยใช้วิธีจากการเจาะเลือด และนำเลือดไปแยกเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งในเซลล์เม็ดเลือดขาวจะมีนิวเคลียส (Nucleus) มีโครโมโซม ที่สามารถนำเอาไปแยกเป็นยีนตัวต่าง ๆ แล้วทำการวิเคราะห์รหัสยีนที่ส่งผลต่อความฉลาดของเด็ก ทำให้รู้ว่าเด็กมียีนความฉลาดเด่นในด้านไหน เพื่อให้พ่อแม่ทราบว่าจะส่งเสริมหรือเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตของลูกได้แบบไม่หลงทาง ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ โดยกระบวนการวิเคราะห์ยีนนี้ ยังสามารถทราบแนวโน้มและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม อย่าง ธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อัลไซเมอร์ สมาธิสั้น ออทิสติก และดาวน์ซินโดรม ได้อีกด้วย
“หลังจากกระบวนการวิเคราะห์เพื่อค้นหายีนความฉลาด เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน สามารถใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงทาง Epigenetics เพื่อไปทำปฏิกิริยาระหว่าง DNA กับสารโมเลกุลเล็กๆ ในเซลล์ ซึ่งสามารถกำหนดยีนให้ทำงานหรือไม่ทำงานได้ ซึ่งเป็นกลไกทางเคมีที่ทำให้ DNA เกิดการปรับเปลี่ยนได้ ยีนจะสามารถปรับเปลี่ยนให้มีการเรียนรู้ และฉลาดขึ้นได้”
“แม้งานวิจัยพบว่า "ยีนความฉลาด" ถูกส่งผ่านไปยังเด็กจากโครโมโซม X (โครโมโซมของแม่) อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อม สังคมการเลี้ยงดู ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเด็ก และแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกำหนดยีนเสริมสร้างความฉลาดของลูกตั้งแต่ในครรภ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พ่อและแม่ต้องส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัยและกระตุ้นในสิ่งที่เด็กสนใจ เพื่อให้เป็นเด็กฉลาดสมวัย ไม่ว่าลูกของเราจะมียีนฉลาดหรือยีนการเรียนรู้อยู่ในตัวหรือไม่ ถ้าหากพ่อแม่ส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัยตั้งแต่ในครรภ์ จนกระทั่งออกมาสู่โลกภายนอกและกระตุ้นในสิ่งที่ลูกชอบ ก็จะเกิดการพัฒนาและนำไปสู่การเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี และเป็นเด็กฉลาดสมวัย” ดร.เอมอร กล่าวทิ้งท้าย
“แม้งานวิจัยพบว่า "ยีนความฉลาด" ถูกส่งผ่านไปยังเด็กจากโครโมโซม X (โครโมโซมของแม่) อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อม สังคมการเลี้ยงดู ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับเด็ก และแม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยกำหนดยีนเสริมสร้างความฉลาดของลูกตั้งแต่ในครรภ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พ่อและแม่ต้องส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัยและกระตุ้นในสิ่งที่เด็กสนใจ เพื่อให้เป็นเด็กฉลาดสมวัย ไม่ว่าลูกของเราจะมียีนฉลาดหรือยีนการเรียนรู้อยู่ในตัวหรือไม่ ถ้าหากพ่อแม่ส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัยตั้งแต่ในครรภ์ จนกระทั่งออกมาสู่โลกภายนอกและกระตุ้นในสิ่งที่ลูกชอบ ก็จะเกิดการพัฒนาและนำไปสู่การเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี และเป็นเด็กฉลาดสมวัย” ดร.เอมอร กล่าวทิ้งท้าย
Credit: mgronline.com
0 Comments